Dynamic Host Configuration Protocol (DHCP)
DHCP สามารถที่แจกหมายเลข IP Address ให้กับเครื่องลูกข่ายได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งมีการแจกทั้งหมายเลข IP Address, Subnet Mask, และ Option ในบทนี้ผู้เรียนจะรู้จักการทำงานและการใช้ประโยชน์จาก DHCP เมื่อจบบทนี้ผู้เรียนจะสามารถเข้าใจ
DHCP Client : เครื่อง Host ที่ทำการร้องขอ Configuration ต่าง ๆ
DHCP Server : เป็น DHCP Host ซึ่งให้ค่า ต่าง ๆ ที่ Client ร้องขอมา
BootP relay agent : เป็น Protocol ที่ยอมให้ packet ของ BootP และ DHCP ส่งผ่านต่อไป
ยัง Routerได้
Binding : ค่าพารามิเตอร์ของ Configuration การ IP address ซึ่งถูกรวมเข้ากับ Host
DHCP จะจัดเตรียมกลไกในการลำเลียง สำหรับการส่งผ่านค่า Configuration ไปยัง hostที่ร้องขอใน TCP/IP network ข้อมูลต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับ host และ RFC(1122,1123,1112,etc)หลังจากได้รับค่าต่าง ๆ แล้วมันควรจะติดต่อสื่อสารกับ host อื่น ในinternet ได้ DHCP มีพื้นฐานของ BootP มันถูกออกแบบมาให้ใช้ร่วมกับ BootP ได้ DHCPmessage จะมี format ที่เหมือนกับ BootP DHCP address รองรับ "leased" IP addressและ ฟังก์ชันการทำงานอื่น ที่เพิ่มขึ้นจะอธิบายไว้ใน RFC 2132
DHCP ประกอบด้วย 2 ส่วน
1. Protocol สำหรับส่งค่าการกำหนดConfigurationของclient
2. ความสามารถในการจัดสรร IP address
ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของระบบ Client/Serverเครื่องClient จะร้องขอ information จาก Server และสามารถระบุ Server ที่ต้องการขอinformationได้เพื่อให้ง่ายต่อการที่ Server จะส่งข้อมูลมาให้ตัวServer ต้องกำหนดค่า Configuration เริ่มต้น เพื่อจัดการกำหนดค่าให้กับ Client ที่ร้องขอมา หรือละเลยคำร้องขอนั้น IP Address Allocation
DHCP มีวิธีในการส่ง IP address 3 วิธี คือ
- Automatic allocation
- Dynamic allocation
- Manual allocation
1. Automatic allocation เป็นการให้ค่า IP address แบบตรงกับเครื่อง Client ที่ร้องขอมา
2. Dynamic allocation จะให้ IP address กับ client ที่ร้องขอมา ตามเวลาที่ได้กำหนดไว้
3. Manual allocation เป็นความสามารถในการ Config IP address ให้กับ client ใหม่
ความแตกต่างกับ Automatic allocation คือ IP address จะถูกกำหนดค่า Config ให้ client ก่อนโดยSystemadministrator ขณะที่ automatic allocation จะให้ IP กับ client แล้วแต่ Server จะกำหนดค่า client ไม่ได้กำหนดConfig เริ่มต้นไว้ก่อน
- DHCP Messages ชนิดของ Messagesที่ใช้ในการติดต่อระหว่าง Client/Server
- DHCP Discover client จะ broadcast packet ออกไป เพื่อหาตำแหน่งที่อยู่ของตัว Server
- DHCP Offer เป็นการตอบสนองจาก Server ไปยัง client จาก DHCP Discover packet.ของ client
พร้อมทั้งให้ค่า Configuration ของตัว Server
DHCP Request message
จาก client ไปยัง Server สำหรับจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
- Requestion ร้องขอค่า พารามิเตอร์จาก Server ตัวหนึ่งและปฏิเสธค่าจาก Server ตัวนั้น
- Confirming ยืนยันความถูกต้องของ address ที่ได้ก่อนหน้านี้
- Extending เพื่อขยายเวลาของ network address ที่เหมาะสม
DHCP ACK เป็น massage จาก Server ถึง client ซึ่งประกอบด้วยค่า Configuration
DHCP NAK เป็น massage จาก Server ถึง client เพื่อแสดงว่า network address client
นั้นผิดหรือ network address client นั้นหมดอายุ
DHCP decline เป็น massage จาก client to server เพื่อแจ้งว่า network address ที่ได้จาก
server นั้นถูกใช้งานอยู่แล้ว
DHCP release เป็น massage จาก client-to-server เพื่อยกเลิก network addressและ
เวลาเช่าที่เหลืออยู่
DHCP Inform เป็นค่าใหม่ใน RFC 2131 เป็น massage จาก client-to-server สอบถาม
เฉพาะค่า local configuration ค่า client มีค่า configuration ของ network
address ภายนอกอยู่แล้ว
การแบ่งคลาสของ IP Address
• คลาส A จะเริ่มจากหมายเลข 1.0.0.0 ถึง 127.0.0.0 เป็นหมายเลขขนาดเลข 24 บิต
ซึ่งจะทําให้มีโฮสต์ได้ถึง 1.6 ล้านโฮสต์
• คลาส B จะเริ่มจากหมายเลข 128.0.0.0 ถึง 191.255.0.0 เป็นหมายเลขขนาดเลข
100 บิต ซึ่งจะทําให้มีโฮสต์ได้ถึง 16320 เนตเวอร์ก และมีโฮสต์ได้ 65024 โฮสต์
• คลาส C จะเริ่มจากหมายเลข 192.0.0.0 ถึง 223.255.255.0 จะมีเนตเวอร์ก ได้ถึง
ล้านเนตเวอร์กและแตะละเนตเวอร์จะมีจํานนว โฮสต์ได้ 254 โฮสต์
• คลาส D, E และ F จะเริ่มจากหมายเลข 224.0.0.0 ถึง 254.0.0.0 จะเป็นหมายเลขที่
ได้จัดเตรียมไว้เพื่ออนาคต ยังไม่ได้นําออกมาใช่
ประโยชน์ของ DHCP
เพิ่มความสะดวกในการตั้งค่าประจําเครื่อง ซึ่งได้แก่การกําหนดไอพีแอดเดรสให้กับเครื่องที่ขอใช้บริการแบบอัตโนมัติทุกเครื่องในสับเน็ตหรืออาจกําหนดไอพีเฉพาะสําหรับบางเครื่องตลอดจนให้บริการค่าอื่นเช่นไอพีของเราเตอร์ หรือไอพีของเครื่องที่ให้บริการชื่อโดเมนวิธีการนี้ทําให้การแก้ไขค่าเป็นไปได้อย่าง สะดวกและช่วยลดปัญหาการตั้งไอพีแอดเดรสซ้ำซ้อนกันได้สามารถ Config ที่เครื่องลูกข่ายได้ง่ายมาก เพียงกําหนดที่ค่า Network ของเครื่องลูกข่ายให้เป็น Obtain by server ซึ่งเป็นค่า Default ของ Windows อยู่แล้ว DHCP จะกําหนดให้เองโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่ลูกข่ายร้องขอไป โดยแจกให้ตาม Configure ที่ผู้ดูแลระบบวางไว้ที่ DHCP Server เพียงเครื่องเดียว 2 ข้อเสีย คือ ไม่สามารถทราบได้เลยว่าปัจจุบันเครื่องใดใช่ IP ใดอยู่ หรือต้องคอยดูที่ logfile ทําให้ไม่สามารถตรวจสอบ หรือควบคุมการใช้งานได้เลยและถ้าระบบเกิดปัญหาเกี่ยวกับ IP
Address จะตรวจสอบได้ยาก ว่า IP Address เครื่องใด ที่มีปัญหาดังนั้น ถ้าไม่ใช่ DHCP ก็ควรจะทําสติกเกอร์ติดประจําไว้ที่ตัวเครื่องทุกเครื่อง โดยการกําหนด IP คงที่(Fixed IP) ไว้เพื่อให้รู้ตําแหน่งเครื่องที่แน่นอน และถ้ามีการซ่อมเครื่องหรือแก้ไขConfigure คอมพิวเตอร์ในภายหลัง ช่างที่มาซ้อมให้ก็จะสามารถกําหนดค่า Network ให้ถูกต้องตามเดิมได้
DHCP ทำอย่างอย่างไร
ประกอบด้วยการทำงานอยู่ 4 ขั้นตอนคือ
- DHCPDiscover เป็นการที่เครื่องลูกข่ายหา DHCP Server โดยใช้บรอดคลาสที่พอร์ต 68
- DHCPOffer เมื่อ DHCP ได้รับการร้องขอก็จะเสนอหมายเลข และ Broadcast ไปบอก DHCP
client ด้วยพอรต์ 67
- DHCPRequest DHCP จะส่งร้องข้อมาที่ DHCP
- DHCPACK เครื่อง DHCP Server ตอบกับพร้อมค่า Option ต่างๆเช่น Default gateway, DNS, WINS
วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551
Dynamic Host Configuration Protocol (DHCP) งานกลุ่ม
DHCP คือ
สามารถที่แจกหมายเลข IP Address ให้กับเครื่องลูกข่ายได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งมีการแจกทั้งหมายเลข IP Address, Subnet Mask, และ Option
DHCP มีวิธีในการส่ง IP address 3 วิธี
1. Automatic allocation
2. Dynamic allocation
3. Manual allocation
การแบ่งคลาสของ IP Address
• คลาส A จะเริ่มจากหมายเลข 1.0.0.0 ถึง 127.0.0.0 เป็นหมายเลขขนาดเลข 24 บิตซึ่งจะทําให้มีโฮสต์ได้ถึง 1.6 ล้านโฮสต์
• คลาส B จะเริ่มจากหมายเลข 128.0.0.0 ถึง 191.255.0.0 เป็นหมายเลขขนาดเลข100 บิต ซึ่งจะทําให้มีโฮสต์ได้ถึง 16320 เนตเวอร์ก และมีโฮสต์ได้ 65024 โฮสต์
• คลาส C จะเริ่มจากหมายเลข 192.0.0.0 ถึง 223.255.255.0 จะมีเนตเวอร์ก ได้ถึงล้านเนตเวอร์กและแตะละเนตเวอร์จะมีจํานนว โฮสต์ได้ 254 โฮสต์• คลาส D, E และ F จะเริ่มจากหมายเลข 224.0.0.0 ถึง 254.0.0.0 จะเป็นหมายเลขที่ได้จัดเตรียมไว้เพื่ออนาคต ยังไม่ได้นําออกมาใช้
ประโยชน์ของ DHCP
เพิ่มความสะดวกในการตั้งค่าประจําเครื่อง ซึ่งได้แก่การกําหนดไอพีแอดเดรสให้กับเครื่องที่ขอใช้บริการแบบอัตโนมัติทุกเครื่องในสับเน็ตหรืออาจกําหนดไอพีเฉพาะสําหรับบางเครื่องตลอดจนให้บริการค่าอื่นเช่นไอพีของเราเตอร์
DHCP ทำอย่างอย่างไร
ประกอบด้วยการทำงานอยู่ 4 ขั้นตอนคือ
- DHCPDiscover เป็นการที่เครื่องลูกข่ายหา DHCP Server โดยใช้บรอดคลาสที่พอร์ต 68
- DHCPOffer เมื่อ DHCP ได้รับการร้องขอก็จะเสนอหมายเลข และ Broadcast ไปบอก DHCP client
ด้วยพอรต์ 67
- DHCPRequest DHCP จะส่งร้องข้อมาที่ DHCP
- DHCPACK เครื่อง DHCP Server ตอบกับพร้อมค่า Option ต่างๆเช่น Default gateway, DNS, WINS
สิ่งที่ DHCP Server จ่ายให้ Client
- IP Address
- Subnet mask
- Default Gateway
- DNS Address
- WINS Server IP
- NTP Server
1. IP Address
ที่อยู่บน Internet กำหนดโดยใช้เลขฐานสองความยาว 4 Bytes หรือ 32 Bits ซึ่งจะไม่มีที่อยู่ที่มีหมายเลขซ้ำกันเลย ประกอบด้วยตัวเลข 3 ประเภทคือ เลขบอกพวก เลขบอกเครือข่าย และเลขบอก Host การกำหนดที่อยู่แบ่งออกเป็น 4 พวกคือ A, B, C, D, และ E ดังแสดงในรูป 2 มีรายละเอียดดังนี้
- พวก A: Bit แรกเป็น 0 เลขบอกเครือข่ายยาว 7 Bit ประกอบด้วย 126 เครือข่ายแต่ละเครือข่ายมี16 ล้าน Host บอกด้วยตัวเลข 24 Bits ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 1.0.0.0 ถึง 127.255.255.255
- พวก B: 2 Bits แรกเป็น 10 เลขบอกเครือข่ายยาว 14 Bits ประกอบด้วย 16,382 เครือข่ายแต่ละเครือข่ายมี 65,536 Host บอกด้วยตัวเลข 16 Bits ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 128.0.0.0 ถึง 191.255.255.255
- พวก C: 3 Bits แรกเป็น 110 เลขบอกเครือข่ายยาว 21 Bits ประกอบด้วย 2,097,152 เครือข่ายแต่ละ
เครือข่ายมี 254 Host บอกด้วยตัวเลข 8 Bits ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 192.0.0.0 ถึง 223.255.255.255
- พวก D: 4 Bits แรกเป็น 1110 ใช้สำหรับกระจายข้อมูลข่าวสารแบบหลายจุด ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 224.0.0.0 ถึง 239.255.255.255
- พวก E: 5 Bits แรกเป็น 11110 สำรองไว้ใช้ในอนาคต ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 240.0.0.0 ถึง
247.255.255.255
2. Subnets
ในระบบเครือข่ายหนึ่งๆ Host ทุกเครื่องจะต้องใช้หมายเลขเครือข่ายเดียวกันทั้งหมด ในกรณีที่เครือข่ายนั้นขยายตัวเพิ่มขึ้นอาจทำให้เกิดปัญหาได้ ตัวอย่างเช่นองค์กรหนึ่งอาจเริ่มต้น โดยการใช้ระบบการตั้งชื่อแบบ C ซึ่งจะมีจำนวน Host ได้ไม่เกิน 254 เครื่อง ในระยะเริ่มแรกอาจเป็นจำนวนที่มากเพียงพอ ต่อมาองค์กรนั้นอาจขยายจำนวน Host ออกไปมากกว่า 254 เครื่อง หรือ อาจเป็นไปได้ว่าองค์กรนั้นได้ติดตั้งระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ ( LAN ) ที่ใช้ในการรับ-ส่งข้อมูลที่แตกต่างจากระบบเดิมที่มีอยู่ ก็จำเป็นต้องมีหมายเลขเครือข่ายใหม่เช่นกัน การแก้ปัญหาหนทางหนึ่ง คือการขอหมายเลขที่อยู่ใหม่ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแม้ว่าจะเป็นที่อยู่พวกเดิม หมายเลขที่ได้รับก็จะไม่ต่อเนื่องกัน ทำให้ยากแก่การบริหารและจดจำ หากขอที่อยู่ใหม่เป็นพวก B ก็จะได้จำนวน Host มากเพียงพอแก่ความต้องการและสามารถย้าย Host เดิมทั้งหมดไปไว้ในที่อยู่ใหม่ได้ อย่างไรก็ตามอุปกรณ์เลือกทางเดินข้อมูล หรือ Router ของเครือข่ายอื่นๆก็จะต้องรับทราบการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากและอาจทำให้เกิดความสับสนได้ อีกทั้งยังไม่สามารถแก้ปัญหาการใช้กฎการรับ-ส่งข้อมูลหลายๆแบบในองค์กรเดียวกันได้ ทางเลือกอีกทางหนึ่งคือการสร้างเครือข่ายย่อยขึ้นใช้ภายในเครือข่ายเดิม
3. Default Gateway
เกตเวย์เป็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ที่ช่วยในการสื่อสารข้อมูล หน้าที่หลักของเกตเวย์คือช่วยทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์2 เครือข่ายหรือมากกว่าที่มีลักษณะไม่เหมือนกัน คือลักษณะของการเชื่อมต่อ (Connectivity ) ของเครือข่ายที่แตกต่างกัน และมีโปรโตคอลสำหรับการส่ง - รับ ข้อมูลต่างกัน เช่น LAN เครือหนึ่งเป็นแบบ Ethernet และใช้โปรโตคอลแบบอะซิงโครนัสส่วน LAN อีกเครือข่ายหนึ่งเป็นแบบ Token Ring และใช้โปรโตคอลแบบซิงโครนัสเพื่อให้สามารถติดต่อกันได้เสมือนเป็นเครือข่ายเดียวกัน เพื่อจำกัดวงให้แคบลงมา เกตเวย์โดยทั่วไปจะใช้เป็นเครื่องมือส่ง - รับข้อมูลกันระหว่างLAN 2เครือข่ายหรือLANกับเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม หรือระหว่าง LANกับ WANโดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะเช่น X.25แพ็คเกจสวิตซ์ เครือข่าย ISDN เทเล็กซ์ หรือเครือข่ายทางไกลอื่น ๆ
เกตเวย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. เกตเวย์แบบอะซิงโครนัส
ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนรูปแบบข้อมูลของเครือข่าย LAN ห้เป็นแบบอะซิงโครนัสก่อนส่งออกไปสู่สายสื่อสารเพื่อติดต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ภายนอกเครือข่าย และทำหน้าที่รับข้อมูลจากอุปกรณ์อะซิงโครนัส เช่น โมเด็มแบบอะซิงโครนัสเพื่อเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลมาเป็นแบบที่ใช้อยู่ในเครือข่ายLAN เกต์เวย์แบบอะซิงโครนัส เช่นX.25เกตเวย์ , T-1 เกตเวย์และเกตเวย์ที่รวมโมเด็มอะซิงโครนัสอยู่เครื่องเดียวกัน
2. เกตเวย์แบบซิงโครนัส
ทำหน้าที่ในการช่วยให้ผู้ใช้ ( User ) ภายในเครือข่าย LAN สามารถติดต่อกับคอมพิวเตอร์เมนเฟรมภายนอกเครือข่ายโดยผ่านโมเด็มแบบซิงโครนัส หรืออาจจะต่อเข้าเองโดยตรง หรือผ่านระบบสื่อสารอื่นๆ เกตเวย์แบบซิงโครนัสคือเกต์เวย์ SNA(System Network Architecture) และเกตเวย์แบบ
RJE ( RemoteJobEntry) เกตเวย์ซิงโครนัสมีส่วนประกอบหลั 2 ส่วนคือส่วนที่ทำหน้าที่เป็น อีมูเลเตอร์เพื่อให้เครื่อง PC ในเครือข่ายทำงาน"เสมือน" เป็นเทอร์มินัลของเครื่องเมนเฟรมภายนอกเครือข่าย และอีกส่วนหนึ่งจะทำหน้าที่เป็น ฟรอนต์ เอ็นโปรเซสเซอร์ โดยจะสนับสนุนโปรโตคอลแบบซิงโครนัส เช่น
BISYN ( Binary Synchronous Communication)หรือ SDLC(Synchronous Data Link Control) มาตรฐานระหว่างประเทศกำหนดขึ้นเพื่อให้ระบบเป็นกลางเพื่อแลกเปลี่ยน E - mail ภายใต้มาตรฐาน X.400
4. DNS Address (Domain Name System)
- ระบบโดเมนเนม (Domain Name System) เป็นการตั้งชื่อเป็นตัวอักษรเพื่อใช้แทน IP Address ทำให้
ง่ายต่อการจดจำ เช่นหมายเลข IP Address 203.146.15.9 แทนที่ด้วยโดเมนเนมชื่อ moe.go.th
· เราเรียกการแทนที่ IP ด้วยโดเมนเนมว่า Name-to-IP Address Mapping ซึ่งช่วยให้สามารถเรียกชื่อ
เว็บไซต์ได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องจำตัวเลข กลไก Name-to-IP Address มีการกำหนดฐานข้อมูลส่วนกลางในการจัดการแก้ไขฐานข้อมูลให้ เพื่อป้องกันการตั้งชื่อซ้ำกัน
· การตั้งชื่อโดเมนเนมแบบเดิมเป็นแบบไม่มีลำดับชั้น คือไม่สามารถแยกย่อยเป็นส่วน ๆ ได้ เรียกว่า
Name Space ทำให้มีปัญหามากเนื่องจากฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การค้นหายาก จึงได้มีการพัฒนาข้อมูลแบบ Name Space ใหม่ให้เป็นแบบลำดับชั้น (Hierarchical Structure) ที่เรียกว่า Domain Name System (DNS) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีการบอกประเภทขององค์การ หรือชื่อประเทศที่เครือข่ายตั้งอยู่
· Domain Name System (DNS) จึงหมายถึงระบบจัดการแปลงชื่อไปเป็นหมายเลข IP โดยมีโครงสร้าง
ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น กลไกหลักของระบบ DNS ทำหน้าที่แปลงชื่อและหมายเลข IP Address หรือทำกลับกันได้ โดยระบบ DNS จะมีการกำหนด Name Space ที่มีกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน มีการเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลแบบกระจาย และทำงานในลักษณะไคลแอนด์ / เซิร์ฟเวอร์ (Client / Server) โดยมี DNS Server ทำหน้าที่ให้บริการค้นชื่อและแปลงข้อมูลให้ตามที่เครื่องลูกข่าย (DNS Client) ร้องขอมา การทำงานแบบไคลแอนด์ / เซิร์ฟเวอร์ (Client / Server) นี้ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็น DNS สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์ และไคลแอนด์ของ DNS ในเครื่องเดียวกัน
โดเมนเนมระดับบนสุด (Top-Level Domains)
โดเมนเนมระดับบนสุด (Top-Lever Domains) เป็นการกำหนดชื่อโดเมนเนมให้มีความหมายในการบอกประเภทขององค์การ หรือชื่อของประเทศ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. Organization Domains โดเมนเนมระดับสูงสุดซึ่งแสดงถึงองค์การหรือหน่วยงาน
- com เครือข่ายของเอกชน
- edu เครือข่ายของหน่วยงานการศึกษา
- gov เครือข่ายของหน่วยงานรัฐบาล
- mil เครือข่ายของหน่วยงานทหาร
- net เครือข่ายของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
- org เครือข่ายขององค์การที่ไม่มุ่งหวังกำไร
2. Geographical Domains โดเมนเนมระดับสูงสุดซึ่งแบ่งตามลักษณะภูมิศาสตร์ หรือประเทศ
- at ออสเตรีย
- au ออสเตรเลีย
- ca แคนาดา
- ch สวิทตเซอร์แลนด
- cn สาธารณรัฐประชาชนจีน
- de เยอรมัน
- dk เดนมาร์ก
- fr ฝรั่งเศส
- jp ญี่ปุ่น
- nz นิวซีแลนด์
- th ไทย
- uk สหราชอาณาจักร (อังกฤษ)
- us สหรัฐอเมริกา
โดเมนเนมในประเทศไทย
ประเทศไทยใช้ .th เป็นโดเมนประจำประเทศ โดยมีโดเมนย่อย (Subdomain) 5 โดเมน ได้แก่ .or, .ac, .go, .co และ .net ดังตารางดังต่อไปนี้ คือ
- orองค์การไม่แสวงผลกำไร
- acสถาบันการศึกษา
- goหน่วยงานราชการ
- coหน่วยงานเอกชน
- netองค์การที่ให้บริการเครือข่าย
การลงทะเบียนขอชื่อโดเมนเนม
การลงทะเบียนขอชื่อโดเมนเนมในประเทศไทยทำได้ 2 ทางเลือก คือ
1. จดทะเบียนที่ใช้ชื่อแบบ xxx.xx.th สามารถขอจดทะเบียนได้ที่ Thailand Network Information Center หรือ ThNIC หรือที่เว็บไซต์ www.thnic.net โดยต้องแนบเอกสารหลักฐานการจดทะเบียนบริษัทในการขอจดทะเบียนด้วย มีค่าธรรมเนียม 2 ปีแรก 1,600 บาท และต่ออายุปีต่อไปปีละ 800 บาท
2. จดทะเบียนที่ใช้ชื่อเป็น .com หรือ .net หรือแบบอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ของประเทศไทย ต้องติดต่อขอจดทะเบียนโดยตรงที่หน่วยงานที่เป็นตัวแทนของ InterNIC (Internet Network Information Center) หรือที่เว็บไซต์ www.internic.net มีค่าธรรมเนียม 2 ปีแรก 70 เหรียญสหรัฐ ซึ่งการจดทะเบียนแบบนี้ ต้องแจ้งให้ผู้รับจดทะเบียนทั้ง ThNIC และ InterNIC ทราบด้วยว่าใครเป็นผู้ดูแลเซิร์ฟเวอร์
5. WINS Server IP
WINS (Windows Internet Name System) Server คือเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการในการแปลงชื่อในระบบของ NetBIOS ให้กลายเป็น TCP/IP ตัวอย่างเช่นหากเครื่อง ALICE ต้องการBrowse ไปหาเครื่อง CELINE ที่อยู่ในอีกเครือข่ายหนึ่งซึ่งในกรณีนี้จะไม่สามารถใช้วิธีตะโกนถามหรือ broadcast ได้ ดังนั้นจึงต้องหันไปถามจากเครื่อง WINS Server แทน เมื่อได้ IP Address ของเครื่อง CELINE แล้ว Router ก็จะทำการติดต่อสื่อสารข้ามเครือข่ายให้ เครื่อง ALICE จึงจะสามารถติดต่อกับเครื่อง CELINE ได้ อย่างไรก็ตามถ้าในเครือข่ายที่ 1 ไม่มีเครื่อง WINS Server อยู่คุณก็สามารถเข้าไปกำหนดในไฟล์ LMHOSTS ของเครื่อง ALICE ได้ ซึ่งจะได้ผลเช่นเดียวกัน
6. NTP Server
NTP Protocol เป็น Protocol ที่ใช้สำหรับปรับเทียบเวลา (Time Synchronization) ของ Computer โดยอาศัยเครือข่าย Internet เป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูลเวลามาตรฐานไปยังเครื่องลูกข่าย โดยมีเครื่องแม่ข่าย (NTP Server) เป็นตัวให้บริการส่งเวลามาตรฐานไปยังเครื่องปลายทางเพื่อปรับเทียบเวลาให้ตรงกลับเวลามาตรฐาน (Time Standard) ซึ่งเป็นค่าเวลาที่ทาง Time & Frequency Lab. ได้ทำการเก็บรักษาไว้โดยวิธีการเปรียบเทียบกับเวลามาตรฐานของประเทศอื่นๆซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยมีความถูกต้องอยู่ที่ ประมาณ 1 millisecond ในระบบ LAN และประมาณ 10 millisecond ในระบบ WAN นับว่าเป็นความคลาดเคลื่อนที่อยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งยังง่ายต่อการเข้าถึงของผู้ใช้ทั่วไป แค่เพียงมี PC ที่สามารถเชื่อมต่อ เข้าระบบ Internet ได้ผู้ใช้ก็สามารถที่จะ Synchronize เวลามาตรฐานผ่านระบบ NTP ได้ทันทีรู
NTP มีความสำคัญเช่นไร
ในปัจจุบัน Computer มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ และมีแนวโน้มว่าจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และในอีกมุมหนึ่ง Computer นั้นต้องการความถูกต้องแม่นยำของระบบเวลาในเรื่องของ Time stamp เพื่อเก็บบันทึกวัน เวลา และเหตุการณ์หรือ กิจกรรมต่างๆ เช่น ระบบการเงินการธนาคาร การแพทย์ การส่งถ่ายข้อมูล เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว ฐานเวลาที่ Computer ใช้นั้นยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่ ไม่ถูกต้องแม่นยำมากนัก เนื่องจาก Computer ใช้ตัวกำเนิดฐานเวลา (Time Base) เป็น Crystal Oscillator แบบธรรมดาซึ่งไม่มีการควบคุมสภาวะแวดล้อมอย่างเข้มงวด เช่น อุณหภูมิ, ความชื้น ให้คงที่และเหมาะสม นั่นหมายความว่า เวลาของ Computer จะเปลี่ยนแปลงเนื่องจากผลกระทบจากสภาพแวดล้อมได้ง่าย ดังนั้นฐานเวลาที่อยู่ภายในตัวของ Computer จะมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องมาจากความไม่คงที่ของสภาวะแวดล้อมไปได้หลายสิบวินาทีต่อสัปดาห์ จึงทำให้ผู้ใช้ Computer จำเป็นต้องทำการปรับเปลี่ยนเวลาที่คลาดเคลื่อนไปให้ถูกต้องด้วยตัวเอง ซึ่งอาจจะเปรียบเทียบจากแหล่งเวลาที่ทราบค่าและเชื่อถือได้หลายๆแหล่งเช่น โทรศัพท์ (Speaking Clock), โทรทัศน์, วิทยุ เป็นต้น หลังจากนั้นเมื่อระบบโครงข่าย Internet ได้ถือกำเนิดขึ้นและมีความนิยมในการใช้งานกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีการพัฒนาขยายตัวออกไปอย่างไม่หยุดยั้งจึงส่งผลให้ มีการพัฒนาระบบ NTP ซึ่งสามารถใช้โครงข่ายพื้นฐานของ Internet เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดเวลามาตรฐานได้อีกทั้งยังพบว่ามีความถูกต้องสูงและมีความรวดเร็วในการส่งข้อมูลอีกด้วย
สามารถที่แจกหมายเลข IP Address ให้กับเครื่องลูกข่ายได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งมีการแจกทั้งหมายเลข IP Address, Subnet Mask, และ Option
DHCP มีวิธีในการส่ง IP address 3 วิธี
1. Automatic allocation
2. Dynamic allocation
3. Manual allocation
การแบ่งคลาสของ IP Address
• คลาส A จะเริ่มจากหมายเลข 1.0.0.0 ถึง 127.0.0.0 เป็นหมายเลขขนาดเลข 24 บิตซึ่งจะทําให้มีโฮสต์ได้ถึง 1.6 ล้านโฮสต์
• คลาส B จะเริ่มจากหมายเลข 128.0.0.0 ถึง 191.255.0.0 เป็นหมายเลขขนาดเลข100 บิต ซึ่งจะทําให้มีโฮสต์ได้ถึง 16320 เนตเวอร์ก และมีโฮสต์ได้ 65024 โฮสต์
• คลาส C จะเริ่มจากหมายเลข 192.0.0.0 ถึง 223.255.255.0 จะมีเนตเวอร์ก ได้ถึงล้านเนตเวอร์กและแตะละเนตเวอร์จะมีจํานนว โฮสต์ได้ 254 โฮสต์• คลาส D, E และ F จะเริ่มจากหมายเลข 224.0.0.0 ถึง 254.0.0.0 จะเป็นหมายเลขที่ได้จัดเตรียมไว้เพื่ออนาคต ยังไม่ได้นําออกมาใช้
ประโยชน์ของ DHCP
เพิ่มความสะดวกในการตั้งค่าประจําเครื่อง ซึ่งได้แก่การกําหนดไอพีแอดเดรสให้กับเครื่องที่ขอใช้บริการแบบอัตโนมัติทุกเครื่องในสับเน็ตหรืออาจกําหนดไอพีเฉพาะสําหรับบางเครื่องตลอดจนให้บริการค่าอื่นเช่นไอพีของเราเตอร์
DHCP ทำอย่างอย่างไร
ประกอบด้วยการทำงานอยู่ 4 ขั้นตอนคือ
- DHCPDiscover เป็นการที่เครื่องลูกข่ายหา DHCP Server โดยใช้บรอดคลาสที่พอร์ต 68
- DHCPOffer เมื่อ DHCP ได้รับการร้องขอก็จะเสนอหมายเลข และ Broadcast ไปบอก DHCP client
ด้วยพอรต์ 67
- DHCPRequest DHCP จะส่งร้องข้อมาที่ DHCP
- DHCPACK เครื่อง DHCP Server ตอบกับพร้อมค่า Option ต่างๆเช่น Default gateway, DNS, WINS
สิ่งที่ DHCP Server จ่ายให้ Client
- IP Address
- Subnet mask
- Default Gateway
- DNS Address
- WINS Server IP
- NTP Server
1. IP Address
ที่อยู่บน Internet กำหนดโดยใช้เลขฐานสองความยาว 4 Bytes หรือ 32 Bits ซึ่งจะไม่มีที่อยู่ที่มีหมายเลขซ้ำกันเลย ประกอบด้วยตัวเลข 3 ประเภทคือ เลขบอกพวก เลขบอกเครือข่าย และเลขบอก Host การกำหนดที่อยู่แบ่งออกเป็น 4 พวกคือ A, B, C, D, และ E ดังแสดงในรูป 2 มีรายละเอียดดังนี้
- พวก A: Bit แรกเป็น 0 เลขบอกเครือข่ายยาว 7 Bit ประกอบด้วย 126 เครือข่ายแต่ละเครือข่ายมี16 ล้าน Host บอกด้วยตัวเลข 24 Bits ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 1.0.0.0 ถึง 127.255.255.255
- พวก B: 2 Bits แรกเป็น 10 เลขบอกเครือข่ายยาว 14 Bits ประกอบด้วย 16,382 เครือข่ายแต่ละเครือข่ายมี 65,536 Host บอกด้วยตัวเลข 16 Bits ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 128.0.0.0 ถึง 191.255.255.255
- พวก C: 3 Bits แรกเป็น 110 เลขบอกเครือข่ายยาว 21 Bits ประกอบด้วย 2,097,152 เครือข่ายแต่ละ
เครือข่ายมี 254 Host บอกด้วยตัวเลข 8 Bits ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 192.0.0.0 ถึง 223.255.255.255
- พวก D: 4 Bits แรกเป็น 1110 ใช้สำหรับกระจายข้อมูลข่าวสารแบบหลายจุด ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 224.0.0.0 ถึง 239.255.255.255
- พวก E: 5 Bits แรกเป็น 11110 สำรองไว้ใช้ในอนาคต ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 240.0.0.0 ถึง
247.255.255.255
2. Subnets
ในระบบเครือข่ายหนึ่งๆ Host ทุกเครื่องจะต้องใช้หมายเลขเครือข่ายเดียวกันทั้งหมด ในกรณีที่เครือข่ายนั้นขยายตัวเพิ่มขึ้นอาจทำให้เกิดปัญหาได้ ตัวอย่างเช่นองค์กรหนึ่งอาจเริ่มต้น โดยการใช้ระบบการตั้งชื่อแบบ C ซึ่งจะมีจำนวน Host ได้ไม่เกิน 254 เครื่อง ในระยะเริ่มแรกอาจเป็นจำนวนที่มากเพียงพอ ต่อมาองค์กรนั้นอาจขยายจำนวน Host ออกไปมากกว่า 254 เครื่อง หรือ อาจเป็นไปได้ว่าองค์กรนั้นได้ติดตั้งระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ ( LAN ) ที่ใช้ในการรับ-ส่งข้อมูลที่แตกต่างจากระบบเดิมที่มีอยู่ ก็จำเป็นต้องมีหมายเลขเครือข่ายใหม่เช่นกัน การแก้ปัญหาหนทางหนึ่ง คือการขอหมายเลขที่อยู่ใหม่ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแม้ว่าจะเป็นที่อยู่พวกเดิม หมายเลขที่ได้รับก็จะไม่ต่อเนื่องกัน ทำให้ยากแก่การบริหารและจดจำ หากขอที่อยู่ใหม่เป็นพวก B ก็จะได้จำนวน Host มากเพียงพอแก่ความต้องการและสามารถย้าย Host เดิมทั้งหมดไปไว้ในที่อยู่ใหม่ได้ อย่างไรก็ตามอุปกรณ์เลือกทางเดินข้อมูล หรือ Router ของเครือข่ายอื่นๆก็จะต้องรับทราบการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากและอาจทำให้เกิดความสับสนได้ อีกทั้งยังไม่สามารถแก้ปัญหาการใช้กฎการรับ-ส่งข้อมูลหลายๆแบบในองค์กรเดียวกันได้ ทางเลือกอีกทางหนึ่งคือการสร้างเครือข่ายย่อยขึ้นใช้ภายในเครือข่ายเดิม
3. Default Gateway
เกตเวย์เป็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ที่ช่วยในการสื่อสารข้อมูล หน้าที่หลักของเกตเวย์คือช่วยทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์2 เครือข่ายหรือมากกว่าที่มีลักษณะไม่เหมือนกัน คือลักษณะของการเชื่อมต่อ (Connectivity ) ของเครือข่ายที่แตกต่างกัน และมีโปรโตคอลสำหรับการส่ง - รับ ข้อมูลต่างกัน เช่น LAN เครือหนึ่งเป็นแบบ Ethernet และใช้โปรโตคอลแบบอะซิงโครนัสส่วน LAN อีกเครือข่ายหนึ่งเป็นแบบ Token Ring และใช้โปรโตคอลแบบซิงโครนัสเพื่อให้สามารถติดต่อกันได้เสมือนเป็นเครือข่ายเดียวกัน เพื่อจำกัดวงให้แคบลงมา เกตเวย์โดยทั่วไปจะใช้เป็นเครื่องมือส่ง - รับข้อมูลกันระหว่างLAN 2เครือข่ายหรือLANกับเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม หรือระหว่าง LANกับ WANโดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะเช่น X.25แพ็คเกจสวิตซ์ เครือข่าย ISDN เทเล็กซ์ หรือเครือข่ายทางไกลอื่น ๆ
เกตเวย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. เกตเวย์แบบอะซิงโครนัส
ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนรูปแบบข้อมูลของเครือข่าย LAN ห้เป็นแบบอะซิงโครนัสก่อนส่งออกไปสู่สายสื่อสารเพื่อติดต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ภายนอกเครือข่าย และทำหน้าที่รับข้อมูลจากอุปกรณ์อะซิงโครนัส เช่น โมเด็มแบบอะซิงโครนัสเพื่อเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลมาเป็นแบบที่ใช้อยู่ในเครือข่ายLAN เกต์เวย์แบบอะซิงโครนัส เช่นX.25เกตเวย์ , T-1 เกตเวย์และเกตเวย์ที่รวมโมเด็มอะซิงโครนัสอยู่เครื่องเดียวกัน
2. เกตเวย์แบบซิงโครนัส
ทำหน้าที่ในการช่วยให้ผู้ใช้ ( User ) ภายในเครือข่าย LAN สามารถติดต่อกับคอมพิวเตอร์เมนเฟรมภายนอกเครือข่ายโดยผ่านโมเด็มแบบซิงโครนัส หรืออาจจะต่อเข้าเองโดยตรง หรือผ่านระบบสื่อสารอื่นๆ เกตเวย์แบบซิงโครนัสคือเกต์เวย์ SNA(System Network Architecture) และเกตเวย์แบบ
RJE ( RemoteJobEntry) เกตเวย์ซิงโครนัสมีส่วนประกอบหลั 2 ส่วนคือส่วนที่ทำหน้าที่เป็น อีมูเลเตอร์เพื่อให้เครื่อง PC ในเครือข่ายทำงาน"เสมือน" เป็นเทอร์มินัลของเครื่องเมนเฟรมภายนอกเครือข่าย และอีกส่วนหนึ่งจะทำหน้าที่เป็น ฟรอนต์ เอ็นโปรเซสเซอร์ โดยจะสนับสนุนโปรโตคอลแบบซิงโครนัส เช่น
BISYN ( Binary Synchronous Communication)หรือ SDLC(Synchronous Data Link Control) มาตรฐานระหว่างประเทศกำหนดขึ้นเพื่อให้ระบบเป็นกลางเพื่อแลกเปลี่ยน E - mail ภายใต้มาตรฐาน X.400
4. DNS Address (Domain Name System)
- ระบบโดเมนเนม (Domain Name System) เป็นการตั้งชื่อเป็นตัวอักษรเพื่อใช้แทน IP Address ทำให้
ง่ายต่อการจดจำ เช่นหมายเลข IP Address 203.146.15.9 แทนที่ด้วยโดเมนเนมชื่อ moe.go.th
· เราเรียกการแทนที่ IP ด้วยโดเมนเนมว่า Name-to-IP Address Mapping ซึ่งช่วยให้สามารถเรียกชื่อ
เว็บไซต์ได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องจำตัวเลข กลไก Name-to-IP Address มีการกำหนดฐานข้อมูลส่วนกลางในการจัดการแก้ไขฐานข้อมูลให้ เพื่อป้องกันการตั้งชื่อซ้ำกัน
· การตั้งชื่อโดเมนเนมแบบเดิมเป็นแบบไม่มีลำดับชั้น คือไม่สามารถแยกย่อยเป็นส่วน ๆ ได้ เรียกว่า
Name Space ทำให้มีปัญหามากเนื่องจากฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การค้นหายาก จึงได้มีการพัฒนาข้อมูลแบบ Name Space ใหม่ให้เป็นแบบลำดับชั้น (Hierarchical Structure) ที่เรียกว่า Domain Name System (DNS) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีการบอกประเภทขององค์การ หรือชื่อประเทศที่เครือข่ายตั้งอยู่
· Domain Name System (DNS) จึงหมายถึงระบบจัดการแปลงชื่อไปเป็นหมายเลข IP โดยมีโครงสร้าง
ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น กลไกหลักของระบบ DNS ทำหน้าที่แปลงชื่อและหมายเลข IP Address หรือทำกลับกันได้ โดยระบบ DNS จะมีการกำหนด Name Space ที่มีกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน มีการเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลแบบกระจาย และทำงานในลักษณะไคลแอนด์ / เซิร์ฟเวอร์ (Client / Server) โดยมี DNS Server ทำหน้าที่ให้บริการค้นชื่อและแปลงข้อมูลให้ตามที่เครื่องลูกข่าย (DNS Client) ร้องขอมา การทำงานแบบไคลแอนด์ / เซิร์ฟเวอร์ (Client / Server) นี้ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็น DNS สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์ และไคลแอนด์ของ DNS ในเครื่องเดียวกัน
โดเมนเนมระดับบนสุด (Top-Level Domains)
โดเมนเนมระดับบนสุด (Top-Lever Domains) เป็นการกำหนดชื่อโดเมนเนมให้มีความหมายในการบอกประเภทขององค์การ หรือชื่อของประเทศ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. Organization Domains โดเมนเนมระดับสูงสุดซึ่งแสดงถึงองค์การหรือหน่วยงาน
- com เครือข่ายของเอกชน
- edu เครือข่ายของหน่วยงานการศึกษา
- gov เครือข่ายของหน่วยงานรัฐบาล
- mil เครือข่ายของหน่วยงานทหาร
- net เครือข่ายของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
- org เครือข่ายขององค์การที่ไม่มุ่งหวังกำไร
2. Geographical Domains โดเมนเนมระดับสูงสุดซึ่งแบ่งตามลักษณะภูมิศาสตร์ หรือประเทศ
- at ออสเตรีย
- au ออสเตรเลีย
- ca แคนาดา
- ch สวิทตเซอร์แลนด
- cn สาธารณรัฐประชาชนจีน
- de เยอรมัน
- dk เดนมาร์ก
- fr ฝรั่งเศส
- jp ญี่ปุ่น
- nz นิวซีแลนด์
- th ไทย
- uk สหราชอาณาจักร (อังกฤษ)
- us สหรัฐอเมริกา
โดเมนเนมในประเทศไทย
ประเทศไทยใช้ .th เป็นโดเมนประจำประเทศ โดยมีโดเมนย่อย (Subdomain) 5 โดเมน ได้แก่ .or, .ac, .go, .co และ .net ดังตารางดังต่อไปนี้ คือ
- orองค์การไม่แสวงผลกำไร
- acสถาบันการศึกษา
- goหน่วยงานราชการ
- coหน่วยงานเอกชน
- netองค์การที่ให้บริการเครือข่าย
การลงทะเบียนขอชื่อโดเมนเนม
การลงทะเบียนขอชื่อโดเมนเนมในประเทศไทยทำได้ 2 ทางเลือก คือ
1. จดทะเบียนที่ใช้ชื่อแบบ xxx.xx.th สามารถขอจดทะเบียนได้ที่ Thailand Network Information Center หรือ ThNIC หรือที่เว็บไซต์ www.thnic.net โดยต้องแนบเอกสารหลักฐานการจดทะเบียนบริษัทในการขอจดทะเบียนด้วย มีค่าธรรมเนียม 2 ปีแรก 1,600 บาท และต่ออายุปีต่อไปปีละ 800 บาท
2. จดทะเบียนที่ใช้ชื่อเป็น .com หรือ .net หรือแบบอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ของประเทศไทย ต้องติดต่อขอจดทะเบียนโดยตรงที่หน่วยงานที่เป็นตัวแทนของ InterNIC (Internet Network Information Center) หรือที่เว็บไซต์ www.internic.net มีค่าธรรมเนียม 2 ปีแรก 70 เหรียญสหรัฐ ซึ่งการจดทะเบียนแบบนี้ ต้องแจ้งให้ผู้รับจดทะเบียนทั้ง ThNIC และ InterNIC ทราบด้วยว่าใครเป็นผู้ดูแลเซิร์ฟเวอร์
5. WINS Server IP
WINS (Windows Internet Name System) Server คือเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการในการแปลงชื่อในระบบของ NetBIOS ให้กลายเป็น TCP/IP ตัวอย่างเช่นหากเครื่อง ALICE ต้องการBrowse ไปหาเครื่อง CELINE ที่อยู่ในอีกเครือข่ายหนึ่งซึ่งในกรณีนี้จะไม่สามารถใช้วิธีตะโกนถามหรือ broadcast ได้ ดังนั้นจึงต้องหันไปถามจากเครื่อง WINS Server แทน เมื่อได้ IP Address ของเครื่อง CELINE แล้ว Router ก็จะทำการติดต่อสื่อสารข้ามเครือข่ายให้ เครื่อง ALICE จึงจะสามารถติดต่อกับเครื่อง CELINE ได้ อย่างไรก็ตามถ้าในเครือข่ายที่ 1 ไม่มีเครื่อง WINS Server อยู่คุณก็สามารถเข้าไปกำหนดในไฟล์ LMHOSTS ของเครื่อง ALICE ได้ ซึ่งจะได้ผลเช่นเดียวกัน
6. NTP Server
NTP Protocol เป็น Protocol ที่ใช้สำหรับปรับเทียบเวลา (Time Synchronization) ของ Computer โดยอาศัยเครือข่าย Internet เป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูลเวลามาตรฐานไปยังเครื่องลูกข่าย โดยมีเครื่องแม่ข่าย (NTP Server) เป็นตัวให้บริการส่งเวลามาตรฐานไปยังเครื่องปลายทางเพื่อปรับเทียบเวลาให้ตรงกลับเวลามาตรฐาน (Time Standard) ซึ่งเป็นค่าเวลาที่ทาง Time & Frequency Lab. ได้ทำการเก็บรักษาไว้โดยวิธีการเปรียบเทียบกับเวลามาตรฐานของประเทศอื่นๆซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยมีความถูกต้องอยู่ที่ ประมาณ 1 millisecond ในระบบ LAN และประมาณ 10 millisecond ในระบบ WAN นับว่าเป็นความคลาดเคลื่อนที่อยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งยังง่ายต่อการเข้าถึงของผู้ใช้ทั่วไป แค่เพียงมี PC ที่สามารถเชื่อมต่อ เข้าระบบ Internet ได้ผู้ใช้ก็สามารถที่จะ Synchronize เวลามาตรฐานผ่านระบบ NTP ได้ทันทีรู
NTP มีความสำคัญเช่นไร
ในปัจจุบัน Computer มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ และมีแนวโน้มว่าจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และในอีกมุมหนึ่ง Computer นั้นต้องการความถูกต้องแม่นยำของระบบเวลาในเรื่องของ Time stamp เพื่อเก็บบันทึกวัน เวลา และเหตุการณ์หรือ กิจกรรมต่างๆ เช่น ระบบการเงินการธนาคาร การแพทย์ การส่งถ่ายข้อมูล เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว ฐานเวลาที่ Computer ใช้นั้นยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่ ไม่ถูกต้องแม่นยำมากนัก เนื่องจาก Computer ใช้ตัวกำเนิดฐานเวลา (Time Base) เป็น Crystal Oscillator แบบธรรมดาซึ่งไม่มีการควบคุมสภาวะแวดล้อมอย่างเข้มงวด เช่น อุณหภูมิ, ความชื้น ให้คงที่และเหมาะสม นั่นหมายความว่า เวลาของ Computer จะเปลี่ยนแปลงเนื่องจากผลกระทบจากสภาพแวดล้อมได้ง่าย ดังนั้นฐานเวลาที่อยู่ภายในตัวของ Computer จะมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องมาจากความไม่คงที่ของสภาวะแวดล้อมไปได้หลายสิบวินาทีต่อสัปดาห์ จึงทำให้ผู้ใช้ Computer จำเป็นต้องทำการปรับเปลี่ยนเวลาที่คลาดเคลื่อนไปให้ถูกต้องด้วยตัวเอง ซึ่งอาจจะเปรียบเทียบจากแหล่งเวลาที่ทราบค่าและเชื่อถือได้หลายๆแหล่งเช่น โทรศัพท์ (Speaking Clock), โทรทัศน์, วิทยุ เป็นต้น หลังจากนั้นเมื่อระบบโครงข่าย Internet ได้ถือกำเนิดขึ้นและมีความนิยมในการใช้งานกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีการพัฒนาขยายตัวออกไปอย่างไม่หยุดยั้งจึงส่งผลให้ มีการพัฒนาระบบ NTP ซึ่งสามารถใช้โครงข่ายพื้นฐานของ Internet เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดเวลามาตรฐานได้อีกทั้งยังพบว่ามีความถูกต้องสูงและมีความรวดเร็วในการส่งข้อมูลอีกด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)