วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551

Dynamic Host Configuration Protocol (DHCP) งานกลุ่ม

DHCP คือ

สามารถที่แจกหมายเลข IP Address ให้กับเครื่องลูกข่ายได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งมีการแจกทั้งหมายเลข IP Address, Subnet Mask, และ Option

DHCP มีวิธีในการส่ง IP address 3 วิธี

1. Automatic allocation
2. Dynamic allocation
3. Manual allocation

การแบ่งคลาสของ IP Address

• คลาส A จะเริ่มจากหมายเลข 1.0.0.0 ถึง 127.0.0.0 เป็นหมายเลขขนาดเลข 24 บิตซึ่งจะทําให้มีโฮสต์ได้ถึง 1.6 ล้านโฮสต์

• คลาส B จะเริ่มจากหมายเลข 128.0.0.0 ถึง 191.255.0.0 เป็นหมายเลขขนาดเลข100 บิต ซึ่งจะทําให้มีโฮสต์ได้ถึง 16320 เนตเวอร์ก และมีโฮสต์ได้ 65024 โฮสต์

• คลาส C จะเริ่มจากหมายเลข 192.0.0.0 ถึง 223.255.255.0 จะมีเนตเวอร์ก ได้ถึงล้านเนตเวอร์กและแตะละเนตเวอร์จะมีจํานนว โฮสต์ได้ 254 โฮสต์• คลาส D, E และ F จะเริ่มจากหมายเลข 224.0.0.0 ถึง 254.0.0.0 จะเป็นหมายเลขที่ได้จัดเตรียมไว้เพื่ออนาคต ยังไม่ได้นําออกมาใช้



ประโยชน์ของ DHCP

เพิ่มความสะดวกในการตั้งค่าประจําเครื่อง ซึ่งได้แก่การกําหนดไอพีแอดเดรสให้กับเครื่องที่ขอใช้บริการแบบอัตโนมัติทุกเครื่องในสับเน็ตหรืออาจกําหนดไอพีเฉพาะสําหรับบางเครื่องตลอดจนให้บริการค่าอื่นเช่นไอพีของเราเตอร์



DHCP ทำอย่างอย่างไร
ประกอบด้วยการทำงานอยู่ 4 ขั้นตอนคือ
- DHCPDiscover เป็นการที่เครื่องลูกข่ายหา DHCP Server โดยใช้บรอดคลาสที่พอร์ต 68
- DHCPOffer เมื่อ DHCP ได้รับการร้องขอก็จะเสนอหมายเลข และ Broadcast ไปบอก DHCP client

ด้วยพอรต์ 67
- DHCPRequest DHCP จะส่งร้องข้อมาที่ DHCP
- DHCPACK เครื่อง DHCP Server ตอบกับพร้อมค่า Option ต่างๆเช่น Default gateway, DNS, WINS



สิ่งที่ DHCP Server จ่ายให้ Client

- IP Address
- Subnet mask
- Default Gateway
- DNS Address
- WINS Server IP
- NTP Server



1. IP Address
ที่อยู่บน Internet กำหนดโดยใช้เลขฐานสองความยาว 4 Bytes หรือ 32 Bits ซึ่งจะไม่มีที่อยู่ที่มีหมายเลขซ้ำกันเลย ประกอบด้วยตัวเลข 3 ประเภทคือ เลขบอกพวก เลขบอกเครือข่าย และเลขบอก Host การกำหนดที่อยู่แบ่งออกเป็น 4 พวกคือ A, B, C, D, และ E ดังแสดงในรูป 2 มีรายละเอียดดังนี้
- พวก A: Bit แรกเป็น 0 เลขบอกเครือข่ายยาว 7 Bit ประกอบด้วย 126 เครือข่ายแต่ละเครือข่ายมี16 ล้าน Host บอกด้วยตัวเลข 24 Bits ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 1.0.0.0 ถึง 127.255.255.255
- พวก B: 2 Bits แรกเป็น 10 เลขบอกเครือข่ายยาว 14 Bits ประกอบด้วย 16,382 เครือข่ายแต่ละเครือข่ายมี 65,536 Host บอกด้วยตัวเลข 16 Bits ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 128.0.0.0 ถึง 191.255.255.255
- พวก C: 3 Bits แรกเป็น 110 เลขบอกเครือข่ายยาว 21 Bits ประกอบด้วย 2,097,152 เครือข่ายแต่ละ
เครือข่ายมี 254 Host บอกด้วยตัวเลข 8 Bits ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 192.0.0.0 ถึง 223.255.255.255
- พวก D: 4 Bits แรกเป็น 1110 ใช้สำหรับกระจายข้อมูลข่าวสารแบบหลายจุด ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 224.0.0.0 ถึง 239.255.255.255
- พวก E: 5 Bits แรกเป็น 11110 สำรองไว้ใช้ในอนาคต ขอบเขตหมายเลขที่อยู่คือ 240.0.0.0 ถึง
247.255.255.255



2. Subnets
ในระบบเครือข่ายหนึ่งๆ Host ทุกเครื่องจะต้องใช้หมายเลขเครือข่ายเดียวกันทั้งหมด ในกรณีที่เครือข่ายนั้นขยายตัวเพิ่มขึ้นอาจทำให้เกิดปัญหาได้ ตัวอย่างเช่นองค์กรหนึ่งอาจเริ่มต้น โดยการใช้ระบบการตั้งชื่อแบบ C ซึ่งจะมีจำนวน Host ได้ไม่เกิน 254 เครื่อง ในระยะเริ่มแรกอาจเป็นจำนวนที่มากเพียงพอ ต่อมาองค์กรนั้นอาจขยายจำนวน Host ออกไปมากกว่า 254 เครื่อง หรือ อาจเป็นไปได้ว่าองค์กรนั้นได้ติดตั้งระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ ( LAN ) ที่ใช้ในการรับ-ส่งข้อมูลที่แตกต่างจากระบบเดิมที่มีอยู่ ก็จำเป็นต้องมีหมายเลขเครือข่ายใหม่เช่นกัน การแก้ปัญหาหนทางหนึ่ง คือการขอหมายเลขที่อยู่ใหม่ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแม้ว่าจะเป็นที่อยู่พวกเดิม หมายเลขที่ได้รับก็จะไม่ต่อเนื่องกัน ทำให้ยากแก่การบริหารและจดจำ หากขอที่อยู่ใหม่เป็นพวก B ก็จะได้จำนวน Host มากเพียงพอแก่ความต้องการและสามารถย้าย Host เดิมทั้งหมดไปไว้ในที่อยู่ใหม่ได้ อย่างไรก็ตามอุปกรณ์เลือกทางเดินข้อมูล หรือ Router ของเครือข่ายอื่นๆก็จะต้องรับทราบการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากและอาจทำให้เกิดความสับสนได้ อีกทั้งยังไม่สามารถแก้ปัญหาการใช้กฎการรับ-ส่งข้อมูลหลายๆแบบในองค์กรเดียวกันได้ ทางเลือกอีกทางหนึ่งคือการสร้างเครือข่ายย่อยขึ้นใช้ภายในเครือข่ายเดิม



3. Default Gateway
เกตเวย์เป็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ที่ช่วยในการสื่อสารข้อมูล หน้าที่หลักของเกตเวย์คือช่วยทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์2 เครือข่ายหรือมากกว่าที่มีลักษณะไม่เหมือนกัน คือลักษณะของการเชื่อมต่อ (Connectivity ) ของเครือข่ายที่แตกต่างกัน และมีโปรโตคอลสำหรับการส่ง - รับ ข้อมูลต่างกัน เช่น LAN เครือหนึ่งเป็นแบบ Ethernet และใช้โปรโตคอลแบบอะซิงโครนัสส่วน LAN อีกเครือข่ายหนึ่งเป็นแบบ Token Ring และใช้โปรโตคอลแบบซิงโครนัสเพื่อให้สามารถติดต่อกันได้เสมือนเป็นเครือข่ายเดียวกัน เพื่อจำกัดวงให้แคบลงมา เกตเวย์โดยทั่วไปจะใช้เป็นเครื่องมือส่ง - รับข้อมูลกันระหว่างLAN 2เครือข่ายหรือLANกับเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม หรือระหว่าง LANกับ WANโดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะเช่น X.25แพ็คเกจสวิตซ์ เครือข่าย ISDN เทเล็กซ์ หรือเครือข่ายทางไกลอื่น ๆ


เกตเวย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. เกตเวย์แบบอะซิงโครนัส
ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนรูปแบบข้อมูลของเครือข่าย LAN ห้เป็นแบบอะซิงโครนัสก่อนส่งออกไปสู่สายสื่อสารเพื่อติดต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ภายนอกเครือข่าย และทำหน้าที่รับข้อมูลจากอุปกรณ์อะซิงโครนัส เช่น โมเด็มแบบอะซิงโครนัสเพื่อเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลมาเป็นแบบที่ใช้อยู่ในเครือข่ายLAN เกต์เวย์แบบอะซิงโครนัส เช่นX.25เกตเวย์ , T-1 เกตเวย์และเกตเวย์ที่รวมโมเด็มอะซิงโครนัสอยู่เครื่องเดียวกัน

2. เกตเวย์แบบซิงโครนัส
ทำหน้าที่ในการช่วยให้ผู้ใช้ ( User ) ภายในเครือข่าย LAN สามารถติดต่อกับคอมพิวเตอร์เมนเฟรมภายนอกเครือข่ายโดยผ่านโมเด็มแบบซิงโครนัส หรืออาจจะต่อเข้าเองโดยตรง หรือผ่านระบบสื่อสารอื่นๆ เกตเวย์แบบซิงโครนัสคือเกต์เวย์ SNA(System Network Architecture) และเกตเวย์แบบ
RJE ( RemoteJobEntry) เกตเวย์ซิงโครนัสมีส่วนประกอบหลั 2 ส่วนคือส่วนที่ทำหน้าที่เป็น อีมูเลเตอร์เพื่อให้เครื่อง PC ในเครือข่ายทำงาน"เสมือน" เป็นเทอร์มินัลของเครื่องเมนเฟรมภายนอกเครือข่าย และอีกส่วนหนึ่งจะทำหน้าที่เป็น ฟรอนต์ เอ็นโปรเซสเซอร์ โดยจะสนับสนุนโปรโตคอลแบบซิงโครนัส เช่น
BISYN ( Binary Synchronous Communication)หรือ SDLC(Synchronous Data Link Control) มาตรฐานระหว่างประเทศกำหนดขึ้นเพื่อให้ระบบเป็นกลางเพื่อแลกเปลี่ยน E - mail ภายใต้มาตรฐาน X.400



4. DNS Address (Domain Name System)
- ระบบโดเมนเนม (Domain Name System) เป็นการตั้งชื่อเป็นตัวอักษรเพื่อใช้แทน IP Address ทำให้
ง่ายต่อการจดจำ เช่นหมายเลข IP Address 203.146.15.9 แทนที่ด้วยโดเมนเนมชื่อ moe.go.th
· เราเรียกการแทนที่ IP ด้วยโดเมนเนมว่า Name-to-IP Address Mapping ซึ่งช่วยให้สามารถเรียกชื่อ
เว็บไซต์ได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องจำตัวเลข กลไก Name-to-IP Address มีการกำหนดฐานข้อมูลส่วนกลางในการจัดการแก้ไขฐานข้อมูลให้ เพื่อป้องกันการตั้งชื่อซ้ำกัน
· การตั้งชื่อโดเมนเนมแบบเดิมเป็นแบบไม่มีลำดับชั้น คือไม่สามารถแยกย่อยเป็นส่วน ๆ ได้ เรียกว่า
Name Space ทำให้มีปัญหามากเนื่องจากฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การค้นหายาก จึงได้มีการพัฒนาข้อมูลแบบ Name Space ใหม่ให้เป็นแบบลำดับชั้น (Hierarchical Structure) ที่เรียกว่า Domain Name System (DNS) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีการบอกประเภทขององค์การ หรือชื่อประเทศที่เครือข่ายตั้งอยู่
· Domain Name System (DNS) จึงหมายถึงระบบจัดการแปลงชื่อไปเป็นหมายเลข IP โดยมีโครงสร้าง
ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น กลไกหลักของระบบ DNS ทำหน้าที่แปลงชื่อและหมายเลข IP Address หรือทำกลับกันได้ โดยระบบ DNS จะมีการกำหนด Name Space ที่มีกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน มีการเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลแบบกระจาย และทำงานในลักษณะไคลแอนด์ / เซิร์ฟเวอร์ (Client / Server) โดยมี DNS Server ทำหน้าที่ให้บริการค้นชื่อและแปลงข้อมูลให้ตามที่เครื่องลูกข่าย (DNS Client) ร้องขอมา การทำงานแบบไคลแอนด์ / เซิร์ฟเวอร์ (Client / Server) นี้ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็น DNS สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์ และไคลแอนด์ของ DNS ในเครื่องเดียวกัน
โดเมนเนมระดับบนสุด (Top-Level Domains)
โดเมนเนมระดับบนสุด (Top-Lever Domains) เป็นการกำหนดชื่อโดเมนเนมให้มีความหมายในการบอกประเภทขององค์การ หรือชื่อของประเทศ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. Organization Domains โดเมนเนมระดับสูงสุดซึ่งแสดงถึงองค์การหรือหน่วยงาน
- com เครือข่ายของเอกชน
- edu เครือข่ายของหน่วยงานการศึกษา
- gov เครือข่ายของหน่วยงานรัฐบาล
- mil เครือข่ายของหน่วยงานทหาร
- net เครือข่ายของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
- org เครือข่ายขององค์การที่ไม่มุ่งหวังกำไร

2. Geographical Domains โดเมนเนมระดับสูงสุดซึ่งแบ่งตามลักษณะภูมิศาสตร์ หรือประเทศ
- at ออสเตรีย
- au ออสเตรเลีย
- ca แคนาดา
- ch สวิทตเซอร์แลนด
- cn สาธารณรัฐประชาชนจีน
- de เยอรมัน
- dk เดนมาร์ก
- fr ฝรั่งเศส
- jp ญี่ปุ่น
- nz นิวซีแลนด์
- th ไทย
- uk สหราชอาณาจักร (อังกฤษ)
- us สหรัฐอเมริกา

โดเมนเนมในประเทศไทย
ประเทศไทยใช้ .th เป็นโดเมนประจำประเทศ โดยมีโดเมนย่อย (Subdomain) 5 โดเมน ได้แก่ .or, .ac, .go, .co และ .net ดังตารางดังต่อไปนี้ คือ
- orองค์การไม่แสวงผลกำไร
- acสถาบันการศึกษา
- goหน่วยงานราชการ
- coหน่วยงานเอกชน
- netองค์การที่ให้บริการเครือข่าย



การลงทะเบียนขอชื่อโดเมนเนม
การลงทะเบียนขอชื่อโดเมนเนมในประเทศไทยทำได้ 2 ทางเลือก คือ
1. จดทะเบียนที่ใช้ชื่อแบบ xxx.xx.th สามารถขอจดทะเบียนได้ที่ Thailand Network Information Center หรือ ThNIC หรือที่เว็บไซต์ www.thnic.net โดยต้องแนบเอกสารหลักฐานการจดทะเบียนบริษัทในการขอจดทะเบียนด้วย มีค่าธรรมเนียม 2 ปีแรก 1,600 บาท และต่ออายุปีต่อไปปีละ 800 บาท


2. จดทะเบียนที่ใช้ชื่อเป็น .com หรือ .net หรือแบบอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ของประเทศไทย ต้องติดต่อขอจดทะเบียนโดยตรงที่หน่วยงานที่เป็นตัวแทนของ InterNIC (Internet Network Information Center) หรือที่เว็บไซต์ www.internic.net มีค่าธรรมเนียม 2 ปีแรก 70 เหรียญสหรัฐ ซึ่งการจดทะเบียนแบบนี้ ต้องแจ้งให้ผู้รับจดทะเบียนทั้ง ThNIC และ InterNIC ทราบด้วยว่าใครเป็นผู้ดูแลเซิร์ฟเวอร์



5. WINS Server IP
WINS (Windows Internet Name System) Server คือเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการในการแปลงชื่อในระบบของ NetBIOS ให้กลายเป็น TCP/IP ตัวอย่างเช่นหากเครื่อง ALICE ต้องการBrowse ไปหาเครื่อง CELINE ที่อยู่ในอีกเครือข่ายหนึ่งซึ่งในกรณีนี้จะไม่สามารถใช้วิธีตะโกนถามหรือ broadcast ได้ ดังนั้นจึงต้องหันไปถามจากเครื่อง WINS Server แทน เมื่อได้ IP Address ของเครื่อง CELINE แล้ว Router ก็จะทำการติดต่อสื่อสารข้ามเครือข่ายให้ เครื่อง ALICE จึงจะสามารถติดต่อกับเครื่อง CELINE ได้ อย่างไรก็ตามถ้าในเครือข่ายที่ 1 ไม่มีเครื่อง WINS Server อยู่คุณก็สามารถเข้าไปกำหนดในไฟล์ LMHOSTS ของเครื่อง ALICE ได้ ซึ่งจะได้ผลเช่นเดียวกัน



6. NTP Server
NTP Protocol เป็น Protocol ที่ใช้สำหรับปรับเทียบเวลา (Time Synchronization) ของ Computer โดยอาศัยเครือข่าย Internet เป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูลเวลามาตรฐานไปยังเครื่องลูกข่าย โดยมีเครื่องแม่ข่าย (NTP Server) เป็นตัวให้บริการส่งเวลามาตรฐานไปยังเครื่องปลายทางเพื่อปรับเทียบเวลาให้ตรงกลับเวลามาตรฐาน (Time Standard) ซึ่งเป็นค่าเวลาที่ทาง Time & Frequency Lab. ได้ทำการเก็บรักษาไว้โดยวิธีการเปรียบเทียบกับเวลามาตรฐานของประเทศอื่นๆซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยมีความถูกต้องอยู่ที่ ประมาณ 1 millisecond ในระบบ LAN และประมาณ 10 millisecond ในระบบ WAN นับว่าเป็นความคลาดเคลื่อนที่อยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งยังง่ายต่อการเข้าถึงของผู้ใช้ทั่วไป แค่เพียงมี PC ที่สามารถเชื่อมต่อ เข้าระบบ Internet ได้ผู้ใช้ก็สามารถที่จะ Synchronize เวลามาตรฐานผ่านระบบ NTP ได้ทันทีรู



NTP มีความสำคัญเช่นไร
ในปัจจุบัน Computer มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ และมีแนวโน้มว่าจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และในอีกมุมหนึ่ง Computer นั้นต้องการความถูกต้องแม่นยำของระบบเวลาในเรื่องของ Time stamp เพื่อเก็บบันทึกวัน เวลา และเหตุการณ์หรือ กิจกรรมต่างๆ เช่น ระบบการเงินการธนาคาร การแพทย์ การส่งถ่ายข้อมูล เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว ฐานเวลาที่ Computer ใช้นั้นยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่ ไม่ถูกต้องแม่นยำมากนัก เนื่องจาก Computer ใช้ตัวกำเนิดฐานเวลา (Time Base) เป็น Crystal Oscillator แบบธรรมดาซึ่งไม่มีการควบคุมสภาวะแวดล้อมอย่างเข้มงวด เช่น อุณหภูมิ, ความชื้น ให้คงที่และเหมาะสม นั่นหมายความว่า เวลาของ Computer จะเปลี่ยนแปลงเนื่องจากผลกระทบจากสภาพแวดล้อมได้ง่าย ดังนั้นฐานเวลาที่อยู่ภายในตัวของ Computer จะมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องมาจากความไม่คงที่ของสภาวะแวดล้อมไปได้หลายสิบวินาทีต่อสัปดาห์ จึงทำให้ผู้ใช้ Computer จำเป็นต้องทำการปรับเปลี่ยนเวลาที่คลาดเคลื่อนไปให้ถูกต้องด้วยตัวเอง ซึ่งอาจจะเปรียบเทียบจากแหล่งเวลาที่ทราบค่าและเชื่อถือได้หลายๆแหล่งเช่น โทรศัพท์ (Speaking Clock), โทรทัศน์, วิทยุ เป็นต้น หลังจากนั้นเมื่อระบบโครงข่าย Internet ได้ถือกำเนิดขึ้นและมีความนิยมในการใช้งานกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีการพัฒนาขยายตัวออกไปอย่างไม่หยุดยั้งจึงส่งผลให้ มีการพัฒนาระบบ NTP ซึ่งสามารถใช้โครงข่ายพื้นฐานของ Internet เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดเวลามาตรฐานได้อีกทั้งยังพบว่ามีความถูกต้องสูงและมีความรวดเร็วในการส่งข้อมูลอีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น: